งานโปรแกรมเมอร์: งานสายไอทีที่เป็นที่ต้องการของบริษัททั่วโลก
admin-kanato HR Consulting, บทความทั้งหมด งานโปรแกรมเมอร์, ทำงานในญี่ปุ่น, ทำงานในประเทศญี่ปุ่น, บริษัทญี่ปุ่น, วัฒนธรรมการทำงานกับญี่ปุ่น, หางาน, หางานบริษัทญี่ปุ่น, โปรแกรมเมอร์

[งานโปรแกรมเมอร์: งานสายไอทีที่เป็นที่ต้องการของบริษัททั่วโลก]
การเขียนโปรแกรมเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญในการสร้างโปรแกรมและซอฟท์แวร์ต่างๆ ซึ่งการเขียนโปรแกรมนั้นไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติด้านการศึกษาว่าต้องจบอะไรมาจึงจะเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ ดังนั้นจึงเป็นอีกสายงานหนึ่งที่เติบโตสายอาชีพได้ไม่ยากนัก แต่ทุกๆอาชีพต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหางานและลักษณะงาน โปรแกรมเมอร์ก็เช่นกัน ในบทความนี้เราจะมาแจกแจงถึงการเป็นโปรแกรมเมอร์และข้อดีข้อเสียในการเติบโตสู่สายงานโปรแกรมเมอร์
โปรแกรมเมอร์เป็นอาชีพที่มีหน้าที่ในการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมบนมือถือด้วยการเขียนรหัสหรือคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ไปประมวลผล สามารถเรียกได้หลากหลายชื่อนอกจากโปรแกรมเมอร์ อาทิ Software Developer หรือ Coders และเกี่ยวข้องกับหน้าที่ในการพัฒนาซอฟท์แวร์ในขั้นตอนต่างๆอาทิ การ Debug การแก้ไขปัญหา และการรักษาคุณภาพการทำงานของโปรแกรม (Maintenance)
โปรแกรมเมอร์เป็นสายงานที่ได้รับความสนใจและต้องการตัวจากบริษัทต่างๆทั่วโลกเพราะการเขียนโปรแกรมถือเป็นสากลที่มีลักษณะเหมือนกันไม่เกี่ยวว่าอยู่ในประเทศอะไร แต่สายงานนี้ก็มีข้อดีและข้อเสียในตัวเองที่หากใครกำลังสนใจมาสายงานนี้จะต้องพิจารณาให้ดี
จุดเด่นของการเป็นโปรแกรมเมอร์
- โปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่องานที่ทำอยู่สูง
ถึงแม้ว่าการเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นอะไรที่ท้าทาย แต่การเป็นโปรแกรมเมอร์ระดับทั่วไปเองก็มีโอกาสได้รับเงินเดือนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสายงานอื่นๆ ที่ทำให้โปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจกับงานสูง และยังได้รับการนับถือจากสังคมรอบข้างซึ่งทำให้ได้รับความภูมิใจในอาชีพของตัวเองได้อีกด้วย
- งานโปรแกรมเมอร์มักได้รับผลตอบแทนหรือเงินเดือนมากกว่าค่าเฉลี่ยของงานทั่วไป
การเขียนโปรแกรมเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะและความชำนาญสูงจึงจะสามารถเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากข้อมูลเงินเดือนของสายงานโปรแกรมเมอร์ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น จะมีเงินเดือนต่อปีอยู่ที่ 56,587 ดอลล่าร์ต่อปี (ประมาณ 1 ล้าน 8 แสนบาทต่อปี) ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเงินเดือนทั้งประเทศ และเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นเงินเดือนก็จะมากขึ้นได้อย่างก้าวกระโดดอีกด้วย
- สามารถทำงานทางไกลโดยที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศได้ (Remote Work)
งานของโปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่จะมีการทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ นั่นหมายความว่า หากมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถทำงานได้ ทำให้งานโปรแกรมเมอร์มีช่องทางและโอกาสในการทำงานและหางานที่ไม่ถูกจำกัดแค่สถานที่ทำงาน
- ช่วยเพิ่มทักษะและลักษณะนิสัยในด้านการแก้ไขปัญหา
งานสำคัญหลักๆของการเป็นโปรแกรมเมอร์คือการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับโปรแกรมและซอฟท์แวร์ ด้วยการจำแนกส่งที่คาดว่าจะทำให้เกิดปัญหาออกเป็นส่วนเล็กๆและค่อยๆจัดการทีละชิ้น ดังนั้นการใช้ทักษะนี้บ่อยๆจะทำให้คนที่ทำงานโปรแกรมเมอร์สามารถมองปัญหาเป็นส่วนๆและแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากทักษะนี้จะใช้ได้ในการทำงานแล้วยังสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
- โปรแกรมเมอร์สามารถเข้าถึงโอกาสในการทำงานแบบฟรีแลนซ์ได้
โปรแกรมเมอร์มีโอกาสรับงานแบบที่งานอื่นๆไม่สามารถทำได้ นั่นก็คือการรับงานแบบฟรีแลนซ์ และรับงานจากนายจ้างต่างบริษัทได้พร้อมๆกัน หากสามารถบริหารจัดการเวลาได้ การทำงานแบบโครงการย่อยจากหลายๆนายจ้าง โดยรวมแล้วจะสามารถได้รับเงินค่าตอบแทนที่มากกว่างานประจำงานเดียวเสียอีก
- ไม่จำเป็นต้องเรียนจบจากสายงานหรือคณะที่เกี่ยวข้องโดยตรง
แตกต่างจากงานอื่นๆที่บริษัทส่วนใหญ่มักจะคัดเลือกพนักงานจากคณะหรือมหาวิทยาลัยที่จบมาว่าตรงกับเนื้อหางานหรือไม่ งานโปรแกรมเมอร์มักยึดตามประสบการณ์และความสามารถที่มีมากกว่าการพิจารณาถึงการศึกษาหรือประกาศนียบัตรจากสถาบันใด นั่นหมายความว่าคุณสามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้โดยที่ไม่ได้จบมหาวิทยาลัยโดยตรงมา
- มีทางเลือกในการทำงานแบบสมดุล (Work-Life Balance) ได้มากกว่า
งานโปรแกรมเมอร์มักมีตารางงานที่ระบุว่าแต่ละวันต้องทำงานอะไรบ้าง ต้องส่งงานภายในวันไหน และมักไม่จำเป็นต้องทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานๆจนถึงเย็น (นอกจากมีงานด่วนเข้ามาหรือใกล้ถึงวันกำหนดส่งงาน)
นอกจากนี้เพราะงานโปรแกรมเมอร์สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ทำงานจากที่บ้านก็ได้ ทำให้ลดเวลาในการเดินทางและนำไปเพิ่มเวลาที่สามารถนำไปทำอย่างอื่นได้
แต่ทุกอย่างในโลก ไม่มีอะไรที่มีแต่ข้อดี งานของโปรแกรมเมอร์เองก็มีจุดด้อยที่ต้องคำนึงถึง
- มักต้องทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
การทำงานสายเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ทำให้คุณจะถูกกดดันจากการต้องเรียนรู้เทคนิคและความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ รวมทั้งต้องปรับตัวในการสร้างสรรค์โปรแกรมใหม่และแก้ไขโปรแกรมเดิมที่เคยได้เขียนไป ทำให้ความเชี่ยวชาญที่คุณมีในวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะล้าสมัยไปแล้วก็ได้ ดังนั้นการเป็นโปรแกรมเมอร์จะอยู่นิ่งเฉยและยึดเพียงความรู้ที่มีไม่ได้อย่างเด็ดขาด
- นั่งแต่หน้าคอมพิวเตอร์ทำให้สุขภาพแย่ได้ง่าย
โปรแกรมเมอร์มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาๆหลายๆชั่วโมงต่อวัน ทำให้โอกาสในการขยับร่างกายมีน้อยลงซึ่งส่งผลต่อปัญหาด้านสุขภาพในระยะยาว
แต่อย่างไรก็ดี สามารถบริหารจัดการเวลาและพักสายตา พักออกจากหน้าจอเพื่อมาบริหารร่างกาย ยืดเส้นยืดสายได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่หลายๆบริษัทด้านเทคโนโลยีมีห้องสำหรับการออกกำลังกายและยิมที่มีเครื่องออกกำลังกายให้กับพนักงาน
- งานส่วนใหญ่มักเป็นงานเดิมๆซ้ำซากจำเจ
การเขียนโปรแกรมเป็นงานที่มีวิธีการทำงานแบบซ้ำๆเดิมๆ ซึ่งทำให้เกิดอาการเบื่อและขาดแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรใหม่ๆโดยเฉพาะคนที่ต้องการสิ่งท้าทายและแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามการเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ได้รับผิดชอบโครงการต่างๆที่หลากหลายก็จะช่วยให้ได้เจอสิ่งท้าทายใหม่ๆและเรียนรู้พัฒนาแนวทางในการทำงานใหม่ๆได้
- ตลาดแรงงานมีการแข่งขันสูง
จากที่เห็นว่าการเป็นโปรแกรมเมอร์นั้นมีข้อดีหลายข้อโดยเฉพาะด้านค่าตอบแทน ทำให้คนอยากเป็นโปรแกรมเมอร์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่ไม่ต้องการเปลี่ยนงานบ่อยๆหรือต้องแข่งขันในการหางานนำเสนอตัวเองเพื่อเข้าร่วมโครงการรวมทั้งต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คงที่เรียบง่าย โปรแกรมเมอร์อาจจะไม่ใช่อาชีพที่น่าสนใจสำหรับคุณซักเท่าไหร่
แต่อย่างไรก็ตามงานสายโปรแกรมเมอร์นี้ก็ยังมีโอกาสให้ได้ลองทำและเติบโตอยู่อีกมากมาย หากคุณพร้อมท้าทายก็สามารถเป็นโปรแกรมเมอร์และรับโอกาสดีๆที่กำลังจะเข้ามาได้เลย
ท่านใดที่กำลังหางานที่สามารถแสดงศักยภาพของตัวเองให้ได้มากที่สุดในบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยโดยเฉพาะงานสายโปรแกรมเมอร์และไอที ทาง PASONA ก็ยินดีเป็นอีกกำลังสำคัญในการสนับสนุนช่วยให้ท่านหางานที่ใช่ได้โดยเร็วนะครับ
………………………………………………………
สามารถติดตามข่าวสาร ตำแหน่งงานจากบริษัทญี่ปุ่นทั่วประเทศ และงานอบรมออนไลน์ได้ในเฟสบุ๊ค PASONA ที่นี่ได้เลย
FREE Registration : สามารถลงทะเบียนข้อมูลเบื้องต้นเพื่อหางานและฝากใบสมัครโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่
>>> https://pasona.co.th/registration-form/ <<<
………………………………………………………
หางานที่ใช่ ได้งานที่ชอบ ต่อยอดความฝัน ไปให้ถึงเป้าหมาย กับ PASONA
☎️ Contact: Career Consultant
Phone: 02-108-1250
Email: info@pasona.co.th
หางาน หาคน หาคอร์สอบรม และ บริการต่างๆที่ช่วยพัฒนาองค์กร ได้ที่ PASONA
#หางาน #สมัครงาน #หางานกทม. #หางานทำ #หางานบริษัทญี่ปุ่น #ฝากประวัติ #ค้นหางาน #PASONA
บทความที่เกี่ยวข้อง

“ความโปร่งใสของเงินเดือน”ปัจจัยที่มีผลต่อแรงบันดาลใจในการทำงาน
“การจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกับงานที่ให้”—เงื่อนไขง่ายๆที่รู้กันอยู่แล้วในโลกของการทำงาน

“คุณคิดว่าในอีก 10 ปีคุณจะเป็นอย่างไร”อีกหนึ่งคำถามที่มักถูกถามในการสัมภาษณ์งาน
ในการเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน สิ่งสำคัญก็คือการเตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่มักถูกถามในห้องสัมภาษณ์ คำถามหนึ่งที่เห็นได้บ่อยครั้งก็คือ “คุณคิดว่าในอีก 10 ปีคุณจะเป็นอย่างไร”

ตอบอย่างไรให้ดูดี กับคำถามสัมภาษณ์”เงินเดือนที่คุณคาดหวัง”
เพื่อหางานที่มีลักษณะและเงินเดือนที่เหมาะสมกับความต้องการ การต่อรองเงินเดือนมักไม่ได้เกิดขึ้นในขั้นตอนที่บริษัทตัดสินใจจ้างงาน มักเกิดขึ้นในหลายๆขั้นตอนก่อนหน้านั้น
สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของเรา
Thailand Head Quarter
26th Floor, Sathorn Square
Office Tower,
98 North Sathorn Road, Silom,
Bangrak, Bangkok 10500, Thailand
TEL: +662-108-1250
E-mail: info@pasona.co.th
เตรียมตัวสัมภาษณ์อย่างไร ให้ได้งาน
การสมัครงานทุกวันนี้ มีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ด้วยความทันสมัย และเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้เราสามารถสมัครงานผ่านเว็บไซต์ได้ หรือส่งประวัติผ่านอีเมลล์ได้ แต่ขั้นตอนสำคัญที่สุดในการที่เราจะได้ร่วมงานกับบริษัทที่เราใฝ่ฝัน ก็คือ การสัมภาษณ์งาน ซึ่งเราจะได้มีโอกาสเข้ามาดูบรรยากาศการทำงาน สถานที่ทำงาน รวมถึงได้พบกับบุคคลากรของบริษัทนั้นๆ ซึ่งเป็นโอกาสที่เราจะได้แสดงตัวตนของเรา และสร้างความประทับใจให้กับบริษัทได้โดยตรง
เพราะฉะนั้น การเตรียมความพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งาน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก นอกจากเรื่องบุคลิกภาพ การแต่งกายที่เราได้พูดถึงในบทความก่อนหน้านี้แล้ว (สามารถอ่านได้ที่บทความนี้ : https://pasona.co.th/b/1144)
การเตรียมพร้อมสำหรับคำถาม รวมถึงข้อมูลบริษัทก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะเป็นวัดทัศนคติ และความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งงานนั้นๆอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเราไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์จะถามกับเราได้ แต่เราสามารถเตรียมตัวสำหรับแนวคำถามต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้นเรามาเตรียมความพร้อมกันดีกว่าค่ะว่าคำถามที่มักจะเจอในการสัมภาษณ์งานมีอะไรบ้าง ซึ่งแนวคำถามต่างๆที่พบเจอได้บ่อยครั้งในการสัมภาษณ์ จะขอยกตัวอย่างจากเว็บไซต์หางานชื่อดัง JobsDB.com
คำถาม : เล่าเรื่องคุณให้เราฟังหน่อย
แนวทางการตอบ : คำถามนี้แม้จะเหมือนกับทางบริษัทอยากรู้จักคุณเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ควรเล่าเรื่องส่วนตัว เช่น คุณเป็นคนอย่างไร ชอบอะไรหรือมีงานอดิเรกอะไร ควรเน้นเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของคุณ เรียนจบอะไรมา มีประสบการณ์การทำงานอะไรมาบ้าง และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเตรียมตัวเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุดของงานนี้ โดยในแต่ละเรื่องที่คุณเล่าควรมีเหตุการณ์หรือมีการยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมประกอบด้วย
คำถาม : ทำไมเราควรจ้างคุณ
แนวทางการตอบ : คุณสามารถตอบได้ว่าคุณเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้โดยให้เหตุผลที่เหมาะสมเพิ่มเติม ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องรู้เพื่อจะตอบคำถามนี้ให้ได้ดีคือ รายละเอียดของตำแหน่งงานและบริษัทที่คุณสมัคร และสิ่งที่คุณจะสามารถให้กับองค์กรได้ ความรู้ความสามารถใดที่มีแต่อาจจะยังไม่เกี่ยวกับตำแหน่งนี้โดยตรงก็สามารถยกขึ้นมาพูดได้หากคุณเล็งเห็นว่ามันจะมีประโยชน์กับองค์กรได้ในอนาคต
คำถาม : ทำไมคุณจึงสนใจงานนี้/ ทำไมคุณจึงลาออกจากที่ทำงานเก่า
แนวทางการตอบ : สำหรับสองคำถามนี้ให้ตอบโดยเน้นไปที่ตัวงาน ไม่ใช่เงินเดือน สวัสดิการที่ดีกว่า เช่น สนใจงานนี้เพราะมีความท้าทายในตัวงานที่คุณคิดว่าคุณสามารถทำได้จากคุณสมบัติที่คุณมี โดยยกเหตุผลและตัวอย่างด้วย เช่นเดียวกับคำถามเรื่องการลาออกจากที่เก่าก็สามารถตอบได้ในทำนองเดียวกัน โดยควรหลีกเลี่ยงการพูดถึงปัญหาความสัมพันธ์กับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานหรืออะไรก็ตามที่เป็นการพูดในแง่ไม่ดีถึงบริษัทเก่าของคุณ
คำถาม : ข้อด้อยของคุณคืออะไร
แนวทางการตอบ : หลายคนเลือกตอบคำถามนี้ด้วยการพยายามทำให้ข้อด้อยกลายเป็นข้อดีขึ้นมาเพราะไม่อยากพูดถึงข้อเสียของตัวเอง เช่น เป็นคนให้ความสำคัญกับงานมากจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น อาจจะดูเหมือนเป็นคำตอบที่ดีแต่ก็แฝงไปด้วยความหมายว่าคุณบริหารจัดการเวลาไม่ค่อยเป็น ในความเป็นจริงแล้วคุณสามารถพูดถึงข้อด้อยของตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมาแต่ควรเป็นสิ่งที่คุณได้พยายามแก้ไขจนดีขึ้นแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เคยเป็นคนบริหารจัดการเวลาไม่ค่อยเป็นทำให้ไม่ค่อยมีเวลาให้ชีวิตส่วนตัว ภายหลังจึงเลือกใช้วิธีจัดลำดับความสำคัญของงาน จัดทำ to do list หรือใช้ application มือถือช่วยจัดตารางการทำงานเป็นต้น
คำถาม : เป้าหมายระยะยาวของคุณคืออะไร
แนวทางการตอบ : บางครั้งอาจจะเป็นคำถามว่าคุณเห็นตัวเองเป็นอย่างไรใน 5 ปีต่อจากนี้ คุณสามารถตอบได้ตามความฝันของคุณ เช่นอยากนั่งตำแหน่งหัวหน้างานหรือผู้จัดการแผนก แต่ก็ควรพิจารณาเลือกเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้ตามกรอบเวลานั้น และควรยกตัวอย่างประกอบด้วยว่าคุณวางแผนอย่างไรที่จะไปถึงเป้าหมาย คุณจะพัฒนาความสามารถอย่างไรให้เหมาะสมกับตำแหน่งนั้น ความท้าทายและอุปสรรคในการเดินไปถึงจุดหมายคืออะไรและคุณคิดว่าจะจัดการกับมันอย่างไร
จะเห็นได้ว่าการตอบคำถามในการสัมภาษณ์งานนั้นคุณไม่จำเป็นต้องคิดคำตอบให้สวยหรูดูดีเสมอไป การตอบตามความเป็นจริงนั้นดีที่สุด เพราะเป็นประสบการณ์ตรงในชีวิตที่ไม่ต้องอาศัยการท่องจำจนขาดความเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้การพูดถึงสิ่งใดก็ตามควรมีหลักฐานหรือตัวอย่างสนับสนุนคำพูดของคุณเสมอ การซ้อมตอบคำถามเหล่านี้หลายครั้งก่อนวันสัมภาษณ์จริงจะช่วยให้คุณสามารถเลือกคำตอบที่ดีที่สุดได้ค่ะ
คำถาม : คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง
แนวทางการตอบ : ทุกครั้งที่สมัครงาน เราจำเป็นที่จะต้องรู้และเข้าใจรายละเอียดที่สำคัญของบริษัทนั้นๆ เช่น ประวัติบริษัท ผลิตภัณฑ์ ภาพลักษณ์องค์กร กลุ่มลูกค้า หากมีสิ่งที่เรารู้สึกประทับใจเกี่ยวกับบริษัทนั้นๆ ก็สามารถแสดงความชื่นชมได้อย่างเหมาะสม เพื่อแสดงให้บริษัทที่เราไปสัมภาษณ์เห็นว่าคุณมีความพร้อม และต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นอย่างแท้จริง
สำหรับข้อแนะนำเพิ่มเติมในฐานะ Consultant ของบริษัทจัดหางาน Pasona คือเรื่องของการรักษามารยาทในการสมัครงาน ควรมีความสำรวม ให้เกียรติผู้สัมภาษณ์ สบตาอย่างจริงใจ ไม่หลบสายตา แต่ไม่จ้องตาจนเกินงาม เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส กระตือรือร้น เป็นผู้พูด และผู้ฟังที่ดี มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ก็ยังคงความนอบน้อม หรือสรุปง่ายๆก็คือ เราควรเป็นตัวของตัวเองในแบบที่ดีที่สุดค่ะ
นอกจากนี้ หลังจากที่คุณได้เตรียมตัวในการสัมภาษณ์งานมาอย่างดีแล้ว แต่ดันมาเจอคำถามที่ไม่คาดคิดว่าจะถูกผู้สัมภาษณ์ถาม ก็เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน งั้นลองมาเตรียมพร้อมสำหรับคำถามแปลกๆกันบ้าง เพื่อเตรียมความพร้อมให้เรารู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยค่ะ
ขอยกตัวอย่างคำถามแปลกๆ จากเว็บไซต์ JobThai.com/REACH ดังต่อไปนี้ค่ะ
ทำไมฝาท่อระบายน้ำต้องเป็นรูปวงกลม ?
ทั้งคำถาม “ทำไมฝาท่อระบายน้ำต้องเป็นวงกลม” และคำถามว่า “คุณจะเคลื่อนย้ายภูเขาไฟฟูจิได้อย่างไร” ต่างก็เคยปรากฏในเนื้อหาของหนังสือที่มีชื่อว่า “How Would You Move Mount Fuji? Microsoft’s Cult of the Puzzle: How the World’s Smartest Company Selects the Most Creative Thinkers” ซึ่งแค่ชื่อหนังสือก็พอจะบอกได้ว่าองค์กรไอทีระดับโลกอย่าง Microsoft นั้นมีกระบวนการสัมภาษณ์งานที่โหดหินเพียงใด เพราะพวกเขามักจะสอดแทรกคำถามเชิงตรรกศาสตร์และคำถามเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาลงไปในรายการคำถามสำหรับคัดเลือกผู้สมัครงานด้วย
เมื่อเจอคำถามแบบนี้ คุณต้องอธิบายเหตุผลให้ได้ว่าทำไมถึงคุณถึงตอบแบบนั้น เช่น การตอบคำถาม ว่า “ทำไมฝาท่อระบายน้ำต้องเป็นรูปวงกลม” อาจจะอธิบายว่าฝาที่เป็นวงกลมจะทำให้กรอบของท่อนั้นแข็งแรงเพราะมีการกระจายน้ำหนักเท่ากันโดยรอบ ซึ่งต่างจากฝารูปร่างอื่น ๆ เช่น รูปสี่เหลี่ยม หรือฝาท่อแบบวงกลมไม่มีทางที่จะหล่นลงไปในท่อได้ ซึ่งฝาท่อรูปทรงสี่เหลี่ยมมีโอกาสจะตกลงไปได้หากถ้าฝาท่อสี่เหลี่ยมถูกพลิกด้านข้าง หรือคำตอบอะไรก็ได้ที่แสดงว่าคุณคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล เชื่อมโยงและสนับสนุนกับคำตอบของคุณ
ถ้าคุณเป็นก้อนอิฐในกำแพง คุณอยากจะเป็นก้อนอิฐก้อนไหน และทำไม?
คำถามที่ว่า “ถ้าคุณเป็นก้อนอิฐในกำแพง คุณอยากจะเป็นก้อนอิฐก้อนไหนและทำไม” หรือคำถามว่า “หากคุณเลือกเป็นสัตว์ได้หนึ่งชนิด คุณอยากเป็นอะไรและทำไม” คำถามเหล่านี้มีไว้เพื่อให้คุณได้แสดงบุคลิกภาพของคุณ คำตอบของคุณจะบ่งบอกนิสัยและคุณสมบัติบางอย่าง
เมื่อคุณเจอคำถามประเภทนี้คุณต้องคิดให้รวดเร็วและรอบคอบ จากนั้นจึงตอบคำถามโดยอาศัยสิ่งที่คุณมีอยู่หรือสิ่งที่คุณได้ทำการบ้านล่วงหน้ามาก่อน เช่น ถ้าคุณเตรียมตัวตอบคำถามประเภทข้อดี–ข้อเสียของตัวคุณ คุณสามารถนำการตอบแบบนั้นมาผสมผสานกับการตอบคำถามประเภทนี้ได้ ถ้าจะตอบคำถามว่า “อยากเป็นอิฐก้อนไหน” คุณอาจจะตอบว่า “ฉันอยากจะเป็นอิฐก้อนแรกที่อยู่ที่ฐานล่างสุดของกำแพง เพราะฉันเป็นคนที่หนักแน่น คนอื่นไว้วางใจได้ ถ้าใครได้ทำงานด้วยก็มั่นใจได้เลยว่าฉันจะไม่ทำให้ผิดหวัง ฉันจะคอยเป็นฐานที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนคนอื่น ๆ ในทีมเอง”
อย่าลืมว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าคำถามจะแปลกแค่ไหน คิด พิจารณาทุกอย่างให้ดีก่อนตอบคำถามนั้นออกไป เพราะทุกคำถามก็เป็นไปเพื่อการทดสอบความเหมาะสมของคุณกับตำแหน่งงานนั้น ๆ อยู่ดี
นอกจากนี้ทาง Pasona ยังมีคำถามสัมภาษณ์งานโดยรวบรวมจาก Consultant ชาวญี่ปุ่นมาฝากให้กับผู้สมัครงานที่สนใจสมัครงานกับบริษัทญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ หากคุณกำลังสนใจ หรือกำลังได้สัมภาษณ์กับบริษัทญี่ปุ่น เราขอแนะนำให้ลองฝึกตอบคำถามดังต่อไปนี้ค่ะ
- แนะนำตัวเองอะไรก็ได้ ภายในหนึ่ง หรือ สองนาที
- ทำไมถึงอยากร่วมงานกับเรา
- คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง
- จงบอกข้อดี ข้อเสียของคุณ
เทคนิค คือ ควรตอบข้อเสียที่มาพร้อมกับแผนการว่าจะพัฒนา หรือแก้ไขข้อเสียได้อย่างไร
- กิจกรรมที่เข้าร่วมในขณะเรียนมหาลัย หรือประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เช่น จิตอาสา กีฬา หรือทำPart Time เพื่อดูประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร ว่าผู้สมัครมีความเหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นๆหรือไม่
- เนื้อหาข่าวที่ผู้สมัครสนใจ เช่น ข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สำหรับตำแหน่งงานทั่วไป ว่าเป็นคนสนใจเหตุการณ์ รอบรู้หรือไม่ ผู้สมัครควรมีความรู้เกี่ยวกับข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อย่างใดอย่างหนึ่ง
- ระยะเวลาในการทำงาน เทคนิคการตอบคือ ควรมีความตั้งใจที่จะทำงานกับทางบริษัทมากกว่าห้าปี
- ในการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย บริษัทอาจจะถามว่า บริษัทของเราเป็นที่ที่คุณให้ความสำคัญ หรืออยากร่วมงานเป็นอันดับแรกหรือไม่ ผู้สมัครไม่ควรตอบไปว่าสัมภาษณ์หลายที่ ควรมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมงานกับทางบริษัทจริงๆ
- มีคำถามอะไรอยากจะถามเรารึเปล่า เป็นคำถามเพื่อวัดว่าสนใจบริษัทเรา หรืองานนั้นจริงๆหรือไม่
จะเห็นได้ว่าคำถามที่สัมภาษณ์ในไทย กับญี่ปุ่นจะค่อนข้างคล้ายกัน มีจุดแตกต่างเพียงกันเล็กน้อย คือ เรื่องของความสนใจเกี่ยวกับข่าวสารบ้านเมือง เพื่อดูว่าเป็นคนสนใจสิ่งรอบตัว หรือพอมีความรู้รอบตัวบ้างหรือไม่ และเรื่องของระยะเวลาการทำงานที่ทางญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีในองค์กร โดยคาดหวังให้พนักงานทำงานกับบริษัทไปนานๆ
แต่จะให้ฝึกตอบคำถามทั่วไปแบบนี้ ก็อาจจะธรรมดาไปหน่อย ทาง Pasona จึงได้นำแนวคำถามแปลกๆในการสัมภาษณ์งานจากทางญี่ปุ่นบางส่วนมาให้ผู้สมัครงานฝึกตอบคำถามกันด้วยค่ะ
- ให้พรีเซ็นท์ หรือหาวิธีเพื่อเปลี่ยนทัศนคติของผู้สัมภาษณ์ เช่น เป็นคนไม่ชอบเขียนจดหมาย ทำอย่างไรให้ชอบเขียนจดหมาย หรือ ไม่ชอบดูหนัง จะนำเสนอยังไงให้ชอบดูหนัง
- มีรูปมาให้ เป็นวัสดุหนึ่งชิ้น แล้วถามว่า สิ่งนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง ให้บอกมา 10 ข้อ (คำถามในการสมัครบริษัทให้คำปรึกษา เป็นแบบ brainstorm เพื่อดูทักษะความคิดสร้างสรรค์ และการคิดเชิงตรรกะ
- ให้ผู้สมัครงานเป็นผู้สัมภาษณ์คนของบริษัท หลังจากเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์ ให้สลับบทบาทกัน เพื่อดูว่าผู้สมัครงานเตรียมความพร้อมมามากแค่ไหน
และอีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจในด้านกระบวนการคิดคำนวณ จากบริษัท Consulting ที่จะขอยกตัวอย่างมาจากเว็บไซต์ JobThai.com/REACH ค่ะ
- ในประเทศญี่ปุ่นมีร้านทำผมสตรีกี่ร้าน
คนสัมภาษณ์ต้องการเปิดโอกาสให้คุณได้แสดงทักษะและกระบวนการคิดของคุณ เมื่อคุณถูกถามแบบนี้ คุณต้องเรียบเรียงความคิดของคุณออกมาเป็นคำพูดให้ดี คุณอาจจะเริ่มด้วยการวิเคราะห์ เช่น เราต้องรู้จำนวนประชากรของประเทศญี่ปุ่นก่อน และเราต้องค้นหาว่าคนญี่ปุ่นทำผมคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศและพวกเขาทำผมบ่อยแค่ไหน
ซึ่งบ่อยครั้งที่ผู้สมัครมักจะตอบคำถามที่เหนือความคาดหมายไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้เตรียมความพร้อมสำหรับคำถามเหล่านี้มา เราจึงควรฝึกตอบคำถามที่มีความแปลก และไม่คาดคิดว่าจะถูกถามไว้ด้วย โดยเริ่มฝึกจากคำถามที่ทาง Pasona ได้ยกตัวอย่างมา และจากเว็บไซต์ต่างๆเพิ่มเติมได้ค่ะ เพื่อที่ว่าเราจะได้มีสกิลในการตอบคำถามเพิ่มขึ้น และไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป
เมื่อเรารู้แนวทางการสัมภาษณ์งานแล้ว ก็อย่าชะล่าใจเชียวค่ะ รีบมาฝึกตอบคำถามเพื่อเตรียมความพร้อมในการสัมภาษณ์งานกันดีกว่า เพราะถ้าเราหมั่นฝึกฝนตัวเองจนมีความพร้อมแล้ว รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง เช่นเดียวกันกับการสมัครงานค่ะ ถ้าเราหมั่นฝึกตอบคำถามควบคู่ไปกับการฝึกฝนทักษะต่างๆอย่างสม่ำเสมอ สมัครงานกี่ครั้งก็ผ่านทุกครั้งแน่นอนค่ะ ทาง Pasona ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังจะได้สัมภาษณ์งานได้งานที่ตรงกับใจต้องการกันนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง

“ความโปร่งใสของเงินเดือน”ปัจจัยที่มีผลต่อแรงบันดาลใจในการทำงาน
“การจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกับงานที่ให้”—เงื่อนไขง่ายๆที่รู้กันอยู่แล้วในโลกของการทำงาน

“คุณคิดว่าในอีก 10 ปีคุณจะเป็นอย่างไร”อีกหนึ่งคำถามที่มักถูกถามในการสัมภาษณ์งาน
ในการเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน สิ่งสำคัญก็คือการเตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่มักถูกถามในห้องสัมภาษณ์ คำถามหนึ่งที่เห็นได้บ่อยครั้งก็คือ “คุณคิดว่าในอีก 10 ปีคุณจะเป็นอย่างไร”

ตอบอย่างไรให้ดูดี กับคำถามสัมภาษณ์”เงินเดือนที่คุณคาดหวัง”
เพื่อหางานที่มีลักษณะและเงินเดือนที่เหมาะสมกับความต้องการ การต่อรองเงินเดือนมักไม่ได้เกิดขึ้นในขั้นตอนที่บริษัทตัดสินใจจ้างงาน มักเกิดขึ้นในหลายๆขั้นตอนก่อนหน้านั้น
สอบถามเพิ่มเติม
เกี่ยวกับบริการของเรา